เมื่อก่อนใครๆ หลายคนเวลาทำการตลาดก็มักจะแอบเชียร์ให้มาทำการตลาดออนไลน์แทนออฟไลน์เพราะคามช้จ่ายถูกกว่าเยอะ การทำธุรกิจที่ยากขึ้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้วเพราะเดี๋ยวนี้ยิงแอดแล้วต้องเสีย Vat 7% แล้วนะ ซึ่งหลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบ ดังนั้นพวกการตลาดสายยิงแอดพลาดไม่ได้!! เพราะสนั่นกันทั้งวงการสายยิงโฆษณาบน Facebook และ Google เป็นอย่างมาก เพราะเราจะต้องเริ่มจ่ายภาษี (VAT) 7%

            สำหรับค่าเงินที่ยิงโฆษณาไปนั่นเอง หรือตามกฎหมาย E-Service ของประเทศเรา ซึ่งเท่าที่เรารู้มา มันสามารถแบ่งได้ เป็น 2 กรณี คือ กรณีของบุคคลธรรมดา กับกรณีของนิติบุคคลที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นั่นก็คือ แบบแรกในกรณีเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลใดๆ ก็ตามที่ไม่มีเลขที่เสียภาษี อันนี้ทาง Google และ Facebook จะคำนวน VAT 7% ให้เรียบร้อย

         จากนั้นรวมไปกับ Invoice ตัดบัตร ที่จ่ายไป และแบบสอง ในกรณีเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว  เพียงแค่กรอกเลข VAT ID ของเราไปในระบบของแพลตฟอร์มที่เป็นของบริษัทต่างประเทศ (ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Google หรืออื่นๆ) แล้วก็ไปยื่นนำส่งภาษี ภ.พ.36 ในแต่ละเดือน แล้วค่อยนำไปเคลมภาษีในเดือนถัดไปได้เลย ซึ่งในเวลานี้เราคงทำต้องมานั่งทำความรู้จักกับโลกของ “E-Commerce” ให้ดีกว่านี้ เพราะในเมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 

         การปรับตัวของเหล่าผู้ประกอบการ จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร็วที่สุด จึงมีร้านค้าที่ก้าวเข้าสู่โลก E-Commerce กันมากขึ้น การศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์และกลยุทธ์การตลาดในการโปรโมทสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตจึงเป็นเรื่องสำคัญในการขายสินค้าและเอาชนะคู่แข่งที่มีจำนวนมากได้ 

          สำหรับมือใหม่หัดขาย แอดมินขอธิบายเกี่ยวกับ E-Commerce ก่อนจะดีกว่า E-Commerce หรือ Electronic Commerce คือการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ และที่มีการใช้งานมากที่สุดในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ และคลิปวิดีโอในการทำธุรกิจได้ การทำธุรกิจแบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้เป็นวงกว้างและทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการหลายๆ ขั้นตอนได้เป็นอย่างดี

           ซึ่งปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และการใช้งานอินเทอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชียลมีเดีย ค้นหาข้อมูล เช็กอีเมล ทำงาน หรือแม้แต่การฟังเพลงออนไลน์ เป็นต้น ทำให้หลายธุรกิจจึงหันมาทำ E-Commerce กันมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าอีกทั้งธุรกิจ E-Commerce ยังมีข้อดีและประโยชน์ในหลายด้านอีกด้วย เช่น ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน , ทำการตลาดได้แบบแม่นยำและวัดผลได้รวดเร็ว ,ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการในหลายๆ ส่วนที่ไม่จำเป็น 

สนับสนุนโดย.    ufabet ดีที่สุด

        บริษัทขนส่งล่าช้าสินค้า  นับตั้งแต่ประเทศไทยประสบปัญหากับการระบาดของเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า covid ทำให้วิธีการดำเนินชีวิตของประชาชนนั้นเปลี่ยนไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช้อปปิ้ง  

เนื่องจากว่าการเดินทางออกไปยังสถานที่ต่างๆมีความเสี่ยงมากเกินไปที่อาจจะทำให้ติดเชื้อไวรัสได้นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆเช่นรัฐบาลประกาศ ล็อคดาวน์ขอความร่วมมือร้านค้าและห้างสรรพสินค้าปิดทำการและให้เปิดทำการขายสินค้าผ่านทางระบบออนไลน์   

ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้วิถีชีวิตในการช้อปปิ้งของคนไทยนั้นเปลี่ยนไปซึ่งปัจจุบันนั้นผู้คนส่วนใหญ่เน้นการใช้ชีวิตด้วยการซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์กันมากขึ้น

และด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปนี้เองทำให้ระบบการขนส่งสินค้าได้รับอานิสงส์จากเรื่องนี้เพราะมีหลายคนที่มีความต้องการที่ใช้บริการขนส่งในการสั่งซื้อสินค้าและให้บริษัทขนส่งสินค้านำสินค้ามาส่งให้

       อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนผู้ที่ใช้บริการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบออนไลน์นั้นมีมากถึงแม้ว่าบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องการขนส่งนั้นจะมีเยอะแต่เมื่อเทียบกับจำนวนผู้สั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์แล้วก็ยังไม่สามารถที่จะรองรับได้เต็มที่นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อการทำงานของบริษัทขนส่งเช่นพนักงานบริษัทขนส่งอาจจะมีการติดไวรัสโควิด จำนวนคนงานนั้นไม่เพียงพอต่อปริมาณสินค้าที่จะมีการไปส่ง

      ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือขนส่งมีการส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ลาช้าด้วยปัญหาที่พบก็คือการที่ร้านค้าขายของออนไลน์ได้มีการให้ขนส่งมารับสินค้าไปแล้วพนักงานขนส่งมารับสินค้าไว้แต่นำไปดรอปไว้ที่ศูนย์กระจายสินค้ากลางโดยที่ไม่นำสินค้าออกไปส่งให้กับลูกค้าปลายทางทำให้บางครั้งลูกค้าพบปัญหาสินค้าตกหล่นไม่ได้รับสินค้าหรือได้รับสินค้าล่าช้านานจนเกินไป

       อย่างไรก็ตามปัญหาทั้งการรับสินค้าล่าช้าหรือสินค้าตกหล่นนั้นเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทขนส่งเป็นอย่างมากเพราะมันส่งผลต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของลูกค้าซึ่งอาจจะทำให้บริษัทขนส่งนั้นอาจจะไม่ได้รับความวางใจจากลูกค้าและลูกค้าจะหันไปใช้บริการขนส่งของเจ้าอื่นแทนนั้นเอง

ซึ่งถ้าหากว่าลูกค้ามีการเปลี่ยนใจไปใช้บริการขนส่งของเจ้าอื่นที่มีการส่งที่รวดเร็วและการบริการที่ดีกว่าก็จะทำให้บริษัทขนส่งที่ลูกค้าหมดความไว้วางใจนั้นสามารถปิดกิจการเพราะขาดทุนได้เช่นเดียวกัน

    ดังนั้นการทำธุรกิจในช่วงเวลานี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการขนส่งถึงแม้ว่าจะมีลูกค้า Order สินค้ามากมายแต่ก็ต้องมีการบริหารการจัดการที่ดีสามารถส่งสินค้าได้ตรงตามกำหนดเวลาที่มีการระบุไว้จะสามารถทำให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้าและสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว 

ได้รับการสนับสนุนโดย.  Ufabet เข้าสู่ระบบ

เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าในยุคปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีได้ก้าวล้ำนำหน้าไปเป็นอย่างมาก ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ  ทำให้โลกออนไลน์ของเรานั้นมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรามากเหลือเกิน ซึ่งนั่นรวมไปถึงการทำธุรกิจด้วย ดังนั้นทำให้ในเวลานี้หลายๆคน ที่ทำธุรกิจคงต้องปรับตัวกันพอสมควรเพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค จึงทำให้มีร้านค้าที่ก้าวสู่โลกของ E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) กันเป็นอย่างมาก

ดังนั้นการศึกษาและการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของการทำธุรกิจออนไลน์และกลยุทธ์การตลาดในการโปรโมทสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่คนทำธุรกิจนั้นจำเป็นต้องเรียนรู้ ที่จะทำให้สินค้าของตัวเองสามารถขายสินค้าและเอาชนะคู่แข่งจำนวนมากที่มีอยู่ในตลาดออนไลน์ให้ได้

ซึ่งก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นเราๆที่เป็นคนทำธุรกิจนั้น คงจะต้องเข้าใจคำว่า E-commerce ให้ดีเสียก่อน  ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ  ซึ่งคำๆนี้ย่อมาจากคำว่า Electronic Commerce หรือแปลเป็นภาษาไทยก็คือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นั่นเอง ซึ่งในแง่ของการกระทำก็คือการทำธุรกิจโดยมีการซื้อขายสินค้ากันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ต

ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ และคลิปวิดีโอ ดังนั้นจึงทำให้สามารถที่จะเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางอีกทั้งยังช่วยในการทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการได้เป็นอย่างดี ซึ่งการทำธุรกิจแบบ E-Commerce นั้นเราจะแบ่งออกได้ประมาณหกกลุ่ม นั่นก็คือ

กลุ่มแรกจะเป็นแบบ B to C นั่นก็คือ Business to Consumer หรือ ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีก โดยผู้ซื้อจะซื้อสินค้าปลีกจากผู้ขายผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น การซื้อเสื้อผ้า หรือซื้อเครื่องสำอางในปริมาณที่ไม่เยอะ

กลุ่มสองจะเป็นแบบ B to B ก็คือ Business to Business หรือ ผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายทำการติดต่อซื้อขายกัน โดยเป็นการซื้อขายกันแบบปริมาณเยอะๆ เช่นการขายส่งเป็นต้น

กลุ่มสามจะเป็นแบบ B to G คือ Business to Government หรือ ธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ เช่นเป็นการจัดจ้างของภาครัฐ โดยเป็นการประกาศผ่านทางเว็บไซด์เพื่อลดค่าใช้จ่าย

กลุ่มสี่จะเป็น G to G คือ Government to Government หรือการติดต่อกันระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลที่เป็นหน่วยงานจะทำการติดต่อกันเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล

กลุ่มห้าจะเป็น C to C คือ Consumer to Consumer หรือการติดต่อซื้อขายระหว่างผู้บริโภคด้วยกัน ที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจแต่เป็นการประกาศซื้อขายของตนเอง และผู้บริโภคอีกคนสนใจก็สั่งซื้อไป

กลุ่มหกจะเป็น G to C คือ Government to Consumer หรือการให้บริการจากทางภาครัฐผ่านสื่ออิเลกทรอนิคส์ เล่นการคำนวณและการเสียภาษี

ซึ่งทั้งหมดก็จะเรียกว่าเป็นการทำธุรกิจแบบ E-Commerce นั่นเอง

สนับสนุนโดย.  ufabet เว็บแม่